เทศน์พระ

เวลาใจ

๑๖ มิ.ย. ๒๕๕๔

 

เวลาใจ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ลงอุโบสถสังฆกรรม แต่ก่อนลงอุโบสถสังฆกรรมให้ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อเตือนสติไง เวลาเราบวชเห็นไหม เราตั้งใจบวช เราบวชขึ้นมาจากฆราวาสแล้วเราตายจากฆราวาสมาเป็นภิกษุ

เวลาเป็นภิกษุแล้วเห็นไหม ภิกษุบวชใหม่ ๕ พรรษา ผู้ฉลาดพ้นจากนิสัย ภิกษุ ๑๐ พรรษาขึ้นเป็นอุปัชฌาย์โดยอัตโนมัติ ภิกษุ ๑๐ พรรษาขึ้นเป็นผู้ฉลาด นี่ตามธรรมวินัย

แต่เวลาพวกเราภิกษุเวลาบวชแล้ว ๑๐ พรรษาขึ้น แต่เป็นผู้ไม่ฉลาด หรือเป็นผู้ที่ฉลาด เวลาบวชเป็นพระ เป็นอุปัชฌาย์โดยอัตโนมัติ เวลาบวชแล้ว เป็นพระขึ้นมาแล้ว เราดูแลรักษาไหมล่ะ เราไม่ได้ดูแลรักษาเห็นไหม

แต่เวลาเรามาอยู่ในวงกรรมฐาน เวลากรรมฐานขอนิสัย เวลาขอนิสัยนะ พอขอนิสัยแล้วดูแลกัน พ่อแม่ครูบาอาจารย์ เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ ทั้งครูบาอาจารย์ เป็นพ่อเป็นแม่เพราะอะไร เพราะเราดูแลแม้แต่ชีวิตนะ

ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้คือไออุ่น ไออุ่นตั้งอยู่บนกาลเวลา ชีวิตนี้ต้องมีอาหารไง มันมีอาหารนะ อาหาร ๔ ในวัฏฏะ กวฬิงการาหาร วิญญาณาหาร ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร

ชีวิตนี้คืออะไร ชีวิตนี้คือไออุ่น ตั้งอยู่บนกาลเวลาและมีอาหาร อาหารที่มันสืบต่อล่ะ สิ่งที่สืบต่ออยู่นี่มันจะสืบต่ออย่างไร เราสืบต่อด้วยเห็นไหม ดูสิ เราบวชมาแล้ว เราเป็นพระ เป็นภิกษุ สืบต่อด้วยอะไร? ด้วยกาลเวลา เวลามันจะสืบต่อชีวิตนะ เพราะมีเวลาถึงมีอดีต-อนาคต ถ้าไม่มีเวลาเราจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอดีตเป็นอนาคต แล้วว่าปัจจุบันธรรม มันอยู่ที่ไหนปัจจุบันธรรม อะไรเป็นปัจจุบัน อะไรเป็นธรรม มันเคลื่อนอยู่ตลอดเวลาไง

เราอยู่กับกาลเวลานะ ดูสิ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยักษ์ตาเดียวมันกินเราทั้งหมดเลย กาลเวลามันกินหมด เกิดมาแล้วต้องแก่เฒ่าเป็นธรรมดา แล้วชีวิตต้องสิ้นสุดไปธรรมดา นี่ไง ในเมื่อธรรมะเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา มันก็เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว มันก็เป็นธรรมอยู่แล้ว เป็นธรรมก็อยู่ในธรรม แล้วก็อยู่ที่กาลเวลา

คนนี้เวลาบวช อุปัชฌาย์บวชขึ้นมา ตั้งแต่ชั่วโมงเท่าไหร่ นาทีเท่าไหร่ วินาทีเท่าไหร่ เป็นพระตั้งแต่เมื่อไหร่ นั่นนะเกิดเป็นพระ ยกเข้าหมู่ ตั้งอยู่บนกาลเวลา เวลาคนตายเห็นไหม ตายเวลาเท่าไหร่ ทางกรมการปกครองเขาก็ต้องจำหน่าย จำหน่ายออกว่าพวกนี้เสียชีวิตแล้ว มีใบมรณะบัตร

นี่ไง กาลเวลามันให้เรารู้ได้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งใด ฉะนั้นเราตั้งใจนะ เราบวชแล้วเราจะบวชเป็นประเพณี บวชโดยความตั้งใจ จะโดยมีเป้าหมายก็แล้วแต่เห็นไหม อย่าให้กาลเวลามันกินไง

ชินชา.. พอชินชาขึ้นมา สิ่งใดก็ชินชา พอชินชาขึ้นมา เราต้องตื่นตัวตลอดเวลา การตื่นตัวของเราขึ้นมา เวลามันจะมีค่านะ คนดีเขาบริหารเวลาอย่างไร ถ้าเขาบริหารเวลาของเขาได้ เวลา ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน คนคนหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมงเขาใฝ่ดี เขาทำดีของเขา เขาขวนขวายของเขา เขาได้ประโยชน์ของเขามหาศาลเลย

ของเรา ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน ปล่อยให้มันสูญเปล่า เราฆ่าเวลาทิ้งไปนะ เวลาที่มันผ่านไปแล้วเรียกกลับมาไม่ได้หรอก เวลามีการบริหารเห็นไหม ดูสิ วัตถุ วัตถุคือร่างกาย วัตถุคือข้าวของ สิ่งของต่างๆ

เวลาเขาสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาแล้ว เขาต้องบำรุงรักษา ใครบำรุงรักษา ใครดูแลมานะ เวลา ๑๐ ปี ๒๐ ปี เอามาเทียบกันนะ ของบางคนเขา ๑๐ ปี ของเขาเก็บไว้เห็นไหม เก่าเก็บ เขารักษาของเขา ไอ้ของเรา ๑๐ ปีนะ หลุดลุ่ยใช้อะไรไม่ได้แล้ว

ร่างกายเราก็เหมือนกัน เราดูแลรักษาเราไหม การดำรงชีพนะมันจะส่อถึงว่าโรคภัยไข้เจ็บมันจะเกิดไม่เกิด ถ้าเราดำรงชีวิตของเราด้วยคุณงามความดี ด้วยรักษา ความเป็นอยู่เราบำรุงรักษาของเรา ร่างกายของเราจะแข็งแรงเหมือนกัน

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมวินัยของเรา สมบัติของพระ ถ้าพระมีอะไรเป็นสมบัติ? มีศีลมีธรรมเป็นสมบัติ แล้วศีลธรรมเป็นสมบัติ ศีลธรรมมันเป็นอย่างไร ศีลธรรมข้อบังคับ สิ่งที่เป็นข้อบังคับ เราไม่ผิดศีล แล้วเราได้อะไรขึ้นมาล่ะ วัตถุมันก็ไม่ผิดศีล วัตถุมันไม่มีชีวิต มันไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหนเลย มันไม่ทำอะไรผิดศีล แล้วมันเป็นอะไร ..มันก็เป็นแค่แร่ธาตุ

แต่ของเรานี่ธาตุรู้ของเรามันอยู่ที่ไหน ร่างกายของมนุษย์ เพราะมันมีพลังงาน ร่างกายมันมีไออุ่น ไออุ่นมันเผาผลาญ พอเผาผลาญทุกอย่างธาตุ ๔ มันก็หมุนของมันไป ชีวิตก็ดำรงของมันอยู่ สิ่งที่ดำรงอยู่นี้เพราะอะไร เพราะไออุ่นมันเผาผลาญใช่ไหม มันถึงมีชีวิต แล้วชีวิตนี้ทำสิ่งใดต่อไป ศีลธรรมจริยธรรมมันเป็นการพิสูจน์ไง

คนเรามีคุณค่าเพราะหน้าที่การงาน คนทำงานประสบความสำเร็จ คนนั้นเป็นคนดีหรือคนไม่ดี เขาดูตรงนั้น เวลาคนเห็นไหม ดูสิ หลวงปู่มั่นเวลาท่านจะสังเกตพระ หลวงตาเล่าให้ฟัง ท่านตัดผ้าสบง ๕ ขันธ์ แล้วให้พระแต่ละองค์มาเย็บกัน ๕ องค์ แล้วมาต่อกันเป็นสบงที่ท่านจะใช้ ท่านดูถึงสติ ดูถึงปัญญา ดูกิริยาของคน ดูการกระทำของคน

คนเขาดูกันที่ไหน เขาดูหน้าที่การงานนั่นแหละ เวลาเขาทำงานของเขา หน้าที่การงานออกมาเป็นแบบใด ถ้าคนใฝ่ดี คนมีสติปัญญาของเขา หน้าที่การงานของเขาจะรอบคอบ ถ้าคนปัญญาหยาบ ทำก็สักแต่ว่า ปัดสวะให้พ้นๆ ไป พอพ้นๆ ไป แล้วเวลานั่งสมาธิภาวนา เวลาเนื้อของงานก็เห็นกันได้ว่าเนื้อของงานมันเป็นแบบใด แต่เวลานั่งสมาธิภาวนา มันเป็นนามธรรมใครก็มองไม่เห็น ใครมองไม่เห็น มีสติไหม ถ้ามีสติขึ้นมาคนนั้นจะร่มเย็นเป็นสุข ร่มเย็นเป็นสุขเพราะอะไร เพราะเขาเอาจิตของเขาไว้ในอำนาจของเขาได้

ถ้าเขาเอาจิตไว้ในอำนาจของเขาไม่ได้ เขาก็เร่าร้อน เขาเร่าร้อนของเขาเอง พอเขาเร่าร้อนของเขาเองเห็นไหม พอหัวใจมันเร่าร้อนมันจะมีสิ่งใดล่ะ มันร้อนมันแสดงออกมาด้วยความร้อน ถ้ามันเย็นของมันล่ะ ถ้ามันเย็นของมัน มันก็เป็นประโยชน์ของมันเห็นไหม แล้วสิ่งที่มันเป็นอยู่นี้ มันเป็นอยู่บนอะไรล่ะ การเคลื่อนไหวไปมันอยู่บนเวลาทั้งนั้น มันอยู่บนเวลาเห็นไหม ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันตลอดไป

ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันตลอดไป นี่สุคโต ถ้ามันสุคโตเห็นไหม ดูสิ พลังงานมันคลายตัวทั้งนั้น พลังงานมันคลายตัวออกหมดเลย จิตก็เหมือนกันมันส่งออกหมด แล้วมันส่งออกมันเอาอะไรไปส่งออกล่ะ เวลาบอกว่าเราจะอยู่กับปัจจุบัน พลังงานเราจะรักษามัน ความคิดมันส่งออกทั้งนั้นนะ ถ้ามันส่งออกมา มันส่งออกมาด้วยอะไร? มันส่งออกมาด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราไปห้ามมันได้อย่างไร

ฉันทะ ความพอใจ มันก็ส่งออกแล้ว ยังไม่ต้องคิดอะไรเลย ในตัวมันเอง พลังงานที่สมบูรณ์ที่จะออก นั่นนะมันส่งออกแล้ว ถ้ามันส่งออกแล้วมันเอาอะไรส่งออกล่ะ ส่งออกแล้วเราจะไปห้ามมันทำไม ห้ามมันได้ไหม ดอกบัวเกิดจากโคลนตมนะ พืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งหมดเกิดบนดิน ชาวไร่ชาวนาเขาก็ทำบนดินของเขาปีแล้วปีเล่า แต่ละฤดูกาลแต่ละหน้า เขาก็ทำบนที่นาของเขานั่นแหละ เขาจะได้ข้าวปลาอาหารของเขา เขาทำแล้วทำเล่า

พระเราเห็นไหม เราเกิดมาอะไรมันพาเกิด? ปฏิสนธิจิต แล้วมันจิตที่ไหน อาการของจิต ความรู้สึกนึกคิดมันเกิดจากจิต มันไม่ใช่จิต ถ้าความรู้สึกนึกคิด แล้วบอกดูจิตๆ เอาอะไรไปดู? คนเขาจะส่องพระนะ เขาต้องมีแว่นขยายเขาถึงต้องส่องพระ เขาดูด้วยสายตาของเขา เขาต้องชำนาญของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ดูๆ นี่เอาอะไรไปดู เพราะมันไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งใด จะเอาอะไรไปดู ตัวมันจะดูตัวมันเองได้อย่างไร ถ้ามันไม่มีสติ ถ้ามีสติขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบขึ้นมาจิตมันต้องสงบเข้ามา ถ้าจิตมันสงบเข้ามาแล้วเห็นไหม เวลาจิตมันสงบเข้ามา ความสงบ ความเป็นปัจจุบัน ความเร็วของมัน ถ้าความเร็วของมันจิตมันเคลื่อนที่เห็นไหม ดูสิ เวลาเข็มนี่มันกระดิกไปตลอดเวลา เวลาเท่ากัน แต่คนใช้เวลาไม่เท่ากัน

คนเหมือนกัน เวลาคนเจ็บคนไข้ คนทุกข์คนยาก เวลามันเชื่องช้านัก เวลาคนอยู่ในความรื่นเริง ในความสนุกสนาน เวลามันไปเร็วนัก มันอยู่ที่ไหนล่ะ เวลามันเท่ากัน แต่มันไม่เท่ากันที่ตัณหาความทะยานอยากไง คนหนึ่งผลักเห็นไหม คนทุกข์คนยากก็ผลักตลอดเวลา วิภวตัณหา เวลาคนมันอยากได้อยากรั้งไว้เห็นไหมตัณหา

ตัณหา-วิภวตัณหา มันขับไส มันผลักดันกันอยู่อย่างนั้น มันผลักดันกันอยู่ที่ไหนล่ะ มันผลักดันกันอยู่ในหัวใจนั้น ในหัวใจของคนมันมีความทุกข์ความยากของมัน ความทุกข์ความยากเห็นไหม เราบวชมาเพื่อเหตุนี้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอยู่ที่โคนต้นโพธิ์ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่ที่โคนต้นโพธิ์ สสารกับต้นโพธิ์มันจะตรัสรู้ได้อย่างไร มันก็ต้องหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ ถ้าหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สัจธรรมขึ้นมา เห็นไหมธรรมะมันเกิดที่นี่ ธรรมะมันเกิดที่ธาตุรู้นี้ ธาตุรู้สสารที่มันรู้จริงนี้

แล้วสสารที่มันรู้จริงมันอยู่ที่ไหน เรามีอาการทั้งหมด สิ่งที่ทำอยู่นี้ความนึกคิดทั้งหมด ความนึกคิดมันเป็นผีเห็นไหม ผีคือเกิดดับ มันไม่มีตัวตน ถ้ามันเกิดแล้วมันดับไป แต่สิ่งที่มันตกค้างอยู่ มันตกค้างอยู่ที่ไหน ภวาสวะ ตัวภพ ตัวภพนะมันเป็นความคิดหรือเปล่าล่ะ ตัวภพมันไม่เป็นความคิด แล้วตัวภพมันอยู่ที่ไหน นี่ไงเราถึงต้องเริ่มต้น

ดอกบัวเกิดจากโคลนตม สัจธรรม ทุกอย่างมันต้องมีที่สถิตของมัน สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน เราบวชมานี่เราบวชมาเพื่อจะแก้ไข แล้วไปแก้ไขกันที่ไหน ศึกษามา ศึกษามาเท่าไหร่ ศึกษามาเป็นทฤษฎี ร่องรอยของธรรมะ ร่องรอยเห็นไหม ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาจากโคนต้นโพธิ์นั้น เสวยวิมุติสุขเห็นไหม สุขหนอๆ สุขพ้นจากโลกนะ

โลกเขามีความสุขกัน สุขนั้นเป็นเวทนา สุขนั้นเป็นอนิจจัง สุขนั้นมันเป็นไตรลักษณ์อยู่ในอนัตตา สุขนั้นอยู่ไม่คงที่หรอก ความสุขในโลกสสารที่มันเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกนึกคิดของคนมันเปลี่ยนแปลงหมด เวลามันทำลายถึงที่สิ้นสุดแห่งทุกข์แล้วเห็นไหม ดูสิ นั่นนะเวลามันกลืนกินทุกๆ อย่างนะ เว้นไว้แต่เวลาจิตมันทำลายสิ้นแล้ว มันฆ่า นาฬิกาตายมันไม่กระดิกนะ จิตที่มันทำลายหมดแล้วมันไม่มีอดีตอนาคต ถึงที่สุด วิมุตติสุขนั่นล่ะไม่มีการคลาดเคลื่อน ถ้าไม่มีการคลาดเคลื่อนแล้วปัจจุบันนี้มันมีการคลาดเคลื่อนไหม ปัจจุบันนี้เพราะมันคลาดเคลื่อนไง แต่พอมันคลาดเคลื่อน เราจะทำลายมันทิ้งใช่ไหม

โลกนี้เพราะมีเรา เพราะมีความทุกข์ใช่ไหม เพราะมีเรา ทำลายเราๆ แล้วทำลายได้จริงหรือเปล่า ทำลายไม่ได้จริงไง เวลามันมีอยู่ก็ทำลายเวลามันให้หมด เวลามันสมมุตินะ กว่าโลกนี้จะตกลงกันได้ด้วยเวลาสากลนะ ใครมีอำนาจเขาก็กำหนดเวลาของเขา กว่าจะกำหนดเวลาเป็นสากลในโลก เขาตกลงกันมาขนาดไหน ถึงจะตกลงกันที่ ๒๔ ชั่วโมงอย่างนี้ แล้วเวลาเห็นไหม การเคลื่อนที่เวลานี้ก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง

แต่คำว่าเวลาในพุทธศาสนาของเราคือมันเคลื่อนไง มันเคลื่อนเป็นอดีต-อนาคตไง มันเคลื่อนมา ถ้ามันไม่มีอดีตมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเกิดมาจากไหน ดูสิ พระโพธิสัตว์เห็นไหม ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย มันมาอย่างไร นี่เวลาหรือเปล่า ภพชาติมันเป็นเวลาหรือเปล่า สิ่งที่มันเป็นเวลา สุคโตๆ ถ้ามันสุขจริงมันทำลายทุกอย่างเห็นไหม เวลานี้เป็นสมมุติบัญญัติที่โลกมันเคลื่อนไป

แต่ถ้ามันเป็นวิมุตติ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาสัจธรรมมันเกิดขึ้นมาในใจแล้ว สิ่งนี้เป็นความจริงขึ้นมาแล้วมันก็อยู่กับเวลานี้ เวลาเคลื่อนไป ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา เป็นภาระเห็นไหม กาลเวลาก็ยังพูดคุยกัน ยังสื่อสารกันได้ว่าสิ่งนี้เป็นเวลา แต่เป็นเวลาของโลกนะ มันไม่ใช่เป็นเวลาของธรรม

ดูสิ เวลาพระโสดาบันเห็นไหม อีก ๗ ชาติเท่านั้น แต่ปุถุชนมันเวียนตายเวียนเกิด มีต้นมีปลายไหม เวลานี้มันตายได้ไหม เวลามันจะจบได้ไหม นาฬิกาตายเขาก็โยนทิ้ง พอมันตั้งใหม่เวลามันก็เดินต่อไป

นี่ก็เหมือนกัน แล้วเวลาของจิตล่ะ เวลาเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เวลาเป็นพรหมน่ะเวลามันแตกต่างกัน ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับของเขา ๑ วัน ภพชาติหนึ่งของเขา เขายาวไกลกว่าเราเท่าไหร่ แล้วภพชาติของเราเห็นไหม อายุขัยหนึ่ง แล้วดูสิ สัตว์เห็นไหม แมลงวันนี่ ๗ วัน อายุขัยของมัน เวลามันมีแค่ ๗ วันมันต้องตาย

แต่ภพชาติหนึ่ง เราอยู่ในภพชาติใดเราก็ภูมิใจในภพชาตินั้นว่า เวลาของฉันเราก็ภูมิใจในภพชาติของฉัน ชีวิตทุกชีวิตมันรักชีวิตของมัน แล้วชีวิตนี้ใครเป็นคนเป็นล่ะ จิตหนึ่ง จิตเวียนตายเวียนเกิดนี้มันจะเวียนกันในสถานะไหน สถานะไหน เราเป็นอย่างนั้นมาตลอดใช่ไหม นี่ไงเวลาที่มันคลาดเคลื่อน เวลาที่มันหมุนเวียนอยู่ไง ผลของวัฏฏะ วัฏฏะมันก็หมุนไป ทุกอย่างมันก็หมุนไป หมุนไปในวัฏฏะ แต่หมุนเร็วหมุนช้า ความสั้นความยาวมันก็หมุนช้าหมุนเร็วแตกต่างกัน แต่แกนมันอันเดียวกัน คือภวาสะ คือภพ คือหัวใจที่มันรับรู้อยู่นี้

ถ้าหัวใจมันรับรู้อยู่นี้ ปัจจุบันนี้เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงได้มาบวชเป็นพระ เป็นนักพรต เป็นนักบวช เพื่อจะต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา เราศึกษาทฤษฎีมาทั้งหมดเพื่อจะยับยั้งหัวใจของเรา ถ้าหัวใจยับยั้งได้เห็นไหม โลกมันเคลื่อนไป แต่เราไม่เคลื่อนไปกับโลก

สลดสังเวชไหม เรามีพ่อมีแม่ใช่ไหม เรามีญาติตระกูลใช่ไหม เขาก็ต้องทำหน้าที่ของเขาไปใช่ไหม แล้วเราจะต้องไปรับผิดชอบกับเขาไหม เราเกิดมาในตระกูลหรือเปล่า เราเกิดมาในชาติตระกูลของเราไหม

เราบวชมาเป็นพระ แต่เราก็มีพ่อมีแม่เห็นไหม ดูสิ ๗ ชั่วโคตรที่เราขอได้นะ เราขอได้ แต่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณาพูดมาเป็นนิสัคคิยปาจิตตีย์ ไม่ให้ขอ นี่ไง แม้แต่ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังยอมรับ ยอมรับว่าเรามีสายเลือด เรามีชาติตระกูลของเรา

แต่ในปัจจุบันนี้ ในชาติตระกูลนี้ คำว่าสมมุติๆ เห็นไหม แม้ในชาติตระกูลพ่อแม่ของเราก็เป็นความจริง ญาติพี่น้องก็เป็นความจริงนะ แต่เวลาบวชมาแล้ว เราบวชมาแล้ว เราเป็นใคร? ศากยบุตรพุทธชิโนรส ปัจจุบันนี้เราเป็นศากยบุตร เราเป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามธรรมวินัย ถ้าเราทำผิดวินัย มันก็ต้องเป็นตามวินัย แต่ในเมื่อวินัยก็ยังยอมรับ ๗ ชั่วโคตร ว่า ๗ ชั่วโคตรนี้เราพูดได้ เราขอได้ เพื่อเป็นสายเลือด เพื่อเป็นบุญกุศลเราทำได้

แต่ถ้าคนอื่นไม่ได้ เว้นไว้แต่เขาปวารณา ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณาเห็นไหม ถ้ามันเป็นญาติก็เป็นอย่างหนึ่ง ถ้าปวารณาก็อีกเรื่องหนึ่ง เขาปวารณาก็เหมือนญาติ เพราะเขาปวารณาเพื่อให้เป็นไป นี่การยอมรับไง แม้แต่ธรรมวินัยยังยอมรับเรามี พอเรามีเราก็มองไปในโลกสิ โลกเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ ต้องปากกัดตีนถีบ ทุกคนต้องเป็นแบบนั้น เป็นแบบนั้นเพราะอะไร ชาติปิ ทุกขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง

แต่ในเมื่อการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ยิ่งทุกข์ในวัฏฏะ ทุกในผลของวัฏฏะ แต่ในเมื่อการเกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม เกิดเป็นมนุษย์ทุกข์อย่างยิ่ง ทุกข์อย่างยิ่งเพราะเหตุใด ทุกข์อย่างยิ่งเพราะมนุษย์คิดได้ แต่สัตว์นะ สัตว์เดรัจฉานต่างๆ การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ทุกข์ของเขาในสถานะของเขา เขาทำคุณงามความดีได้เห็นไหม ท้าวโฆสก สุนัขมันยังไปเกิดเป็นเทวดาได้ สัตว์เดรัจฉานมันทำคุณงามความดีของเขาได้ แต่สัตว์เดรัจฉานเขาไม่มีโอกาสแบบเรานี่ไง

โอกาสของเราเห็นไหม เราเกิดเป็นมนุษย์มีสมอง เกิดมามีการยืนด้วยความตั้งฉาก มีสมอง แล้วมีศรัทธาความเชื่อ มีสมองแต่เขาไม่ศรัทธาความเชื่อของเขา เขาใช้สมองของเขา ว่าเป็นหน้าที่การงานของเขา ในเมื่อเกิดมาแล้วมนุษย์ดี ดีเพราะหน้าที่การงาน ทำงานไปประสบความสำเร็จ แต่ประสบความสำเร็จโดยกุศลหรืออกุศลล่ะ

แต่โดยกุศลเห็นไหม หน้าที่การงานสำเร็จมาแล้ว เวลาเราจะแก่เฒ่าเราจะหมดอายุขัยไป เราทำสมบัติอะไรไว้! เราหาสมบัติอะไรไว้! ..เราก็หาสมบัติสาธารณะไง หาสมบัติของโลกไว้ไง แล้วสมบัติของเราล่ะ จิตนี้จะออกจากร่าง พอหมดอายุขัยมันต้องเคลื่อนไป พอมันเคลื่อนไปเรามีอะไรติดไป กาลเวลาอีกแล้วเห็นไหม ถ้าเวลามันยังหมุนไป เราก็จะหมุนไปกับเวลา เราหมุนไปโดยที่เราไม่รู้นะ โลกเวลาที่เขาตั้งกันขึ้นมา มันจะเป็นของมันได้ เวลาที่เขาตกลงกันได้

แต่เวลาในวัฏฏะล่ะ ผลของวัฏฏะ ถ้าเราจะหมดอายุขัย เราจะต้องเดินทางไป เราจะมีสมบัติสิ่งใดติดตัวเราไป เราจะมีสมบัติสิ่งใดเป็นของเรา นี่ไง เราว่าเราทำหน้าที่การงาน หน้าที่การงาน นี้ไงคนดีจากโลก ถ้าเป็นโลกคนดี เวลาเป็นสมณะเวลาบวชมามันก็ดี ถ้าพระดีเห็นไหม เป็นมนุษย์ก็มนุษย์ที่ดี เป็นพระก็เป็นพระที่ดี

ถ้าเป็นพระที่ดี ดีตรงไหน เวลาพระที่ดี อาบเหงื่อต่างน้ำทำหน้าที่แข่งกับโลกเขาใช่ไหม? ไม่ใช่ พระที่ดีนะเห็นไหม พระที่ดี ธรรมและวินัย เรามีสติปัญญาของเรา เราบริหารจัดการของเราได้ เราทำของเรา ทรัพย์จากภายใน ถ้าทรัพย์จากภายในมีสติเห็นไหม สติ-มหาสติ

พอมีสติขึ้นมา งานชอบ สติชอบ เพียรชอบ เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียรวิริยะอุตสาหะทางโลกที่เขาขยันหมั่นเพียร เขาทำหน้าที่การงานของเขา นั่นก็เป็นจริตนิสัยของเขา เพราะเขาเป็นคนดีของเขา แต่พอความดีของเขา นั่นงานของโลก แต่เป็นความดีของเรา

เวลานั่งสมาธิภาวนา เราทำความเพียรของเรา เรามีความจริงใจ มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ แล้วความอุตสาหะชอบ ถ้าสักแต่ว่าอุตสาหะเห็นไหม ดูสิ เวลาเหล็กเขาจะหลอมมัน เขาเผานะ อุณหภูมิมันได้ หลอมจนละลายแดงไปหมดเลย เขาจะหลอมเป็นสิ่งใด เขาต้องใช้อุณหภูมิของเขาเพื่อหลอมเหล็กนั้น เพื่อเหล็กนั้นจะไปขึ้นรูปเป็นสิ่งใด

จิตของเราๆ เห็นไหม ดูสิ เรามีสติปัญญานี่ เรารักษาจิตของเราได้แค่ไหน ถ้าเรายังหาจิตของเราไม่เจอ เราจะทำสมถกรรมฐานไม่ได้ แล้วความสงบของใจไม่มี ถ้าใจไม่สงบ

ดูจิตๆ เอาอะไรไปดู? เอาตาดูหรือ เอาตาดู เอาสิ่งอะไรไปดู? แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมาเห็นไหม เวลาจิตมันสงบขึ้นมา แล้วจิตถ้ามันออกรู้ของมัน จิตมันออกรู้นะถ้ามีจิต!

ถ้าไม่มีจิตไม่มีผู้ที่ทำงาน เวลาโลกเขาทำงานเขาใช้มือทำงาน ใช้สมองทำงาน เวลาภาวนาจิตมันไปปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ ปฏิสนธิลงในไข่ ลงในน้ำคร่ำ ลงในโอปปาติกะ แล้วตัวนี้ปฏิสนธิ แล้วไม่รู้จักตัวมัน แล้วมันจะแก้ตัวมันตรงไหน นี่ไงถ้าจิตมันเป็นสัมมาสมาธิมันก็เป็นปัจจุบันชั่วคราว พอมันเสื่อมมามันก็เข้าไปอยู่กับกาลเวลาของโลกเขา ถ้ามันเป็นปัจจุบันไง ถ้ามันเคลื่อนออกมามันก็เป็นอดีตอนาคต

คิดไปถึงสิ่งที่ทำมาก็น้อยเนื้อต่ำใจ คิดจะทำปัจจุบันเอาข้างหน้าก็กลัวลำบากลำบน นี่ไงละล้าละลังๆ ไปหมดเลย ถ้ามันออกมาเป็นอดีต-อนาคต เป็นสิ่งของโลกเขา แต่ถ้ามันเข้าไปสู่ตัวของมัน มันก็ยับยั้งได้ชั่วคราว พอจิตมันยับยั้งได้ มันมีสติปัญญาของมัน ถ้ามีสติปัญญาของมันนี่คือปฏิสนธิ จิตเดิมแท้ๆ พอจิตเดิมแท้ ใครเข้าไปสู่จิตเดิมแท้ งงนะ คนถ้าไม่เคยทำความสงบของใจ เข้าไปใหม่ๆ นี่งงมากเลย “นี่มันอะไรๆ” เก้อๆ เขินๆ

แต่ถ้าเป็นความคิด ว่างๆ ว่างๆ คุยกันปากเปียกปากแฉะ ใครก็ว่าง ใครก็ว่าง ประสาสมมุติ ประสาโลกเขา ประสาอยู่ในกาลเวลาไง ถ้าพูดถึงเรื่องตรรกะ เรื่องความรู้สึก โอ้โฮ คุยธรรมะนี่ปากเปียกปากแฉะเลย แต่ถ้าพอไปเจอความจริงเข้า ไม่รู้ ..พอไม่รู้ มันก็เสื่อม มันก็คลายตัว พอคลายตัวเราเข้าใจ เราพิสูจน์ของเราแล้วว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง

ถ้าจิตมันสงบแล้วมีพื้นมีฐาน จิตสงบแล้วมีสมถกรรมฐาน สมถกรรมฐานนี้ออกรื้อ ออกค้นคว้า การค้นคว้านั้น การทำลายนั้นอยู่ในกาลเวลาไหม นี่ก็คือกาลเวลา กาลเวลาในการกระทำ ถ้ากาลเวลาอยู่ในการกระทำ มันจะทำของมันบ่อยครั้งเข้าๆ พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า พิจารณาซ้ำพิจารณาซาก ถ้าพิจารณาโดยสัจธรรมเวลามันหมุนไปนะ คนทำงานในเวลานั้น เวลาเข้ากะเห็นไหม เวลาทำงานเข้ากะออกกะ ได้งานมาเท่าไหร่ เนื้องานได้เท่าไหร่

จิต เวลามันสงบเข้าไปแล้ว ถ้ามันออกรู้ของมัน มันพิจารณาของมัน พิจารณาแล้วมันรู้อะไรออกมา มันปล่อยวางได้ไหม ถ้ามันปล่อยวางได้เห็นไหม งานทำเสร็จหรือไม่เสร็จ ถ้างานทำเสร็จนะ มันปล่อยวางเป็นครั้งเป็นคราวขึ้นมาเป็นตทังคปหาน การทำ ตทังคปหานมันปล่อยแล้วปล่อยเล่าๆ เห็นไหม ถึงที่สุดนะ ถึงที่สุดมันต้องขาด เวลามันขาดขึ้นไปอะไรมันขาด สังโยชน์มันขาด พิจารณาให้กายมันขาด กายอะไรมันขาดพิจารณาสังโยชน์ สังโยชน์อยู่ที่ไหน ถ้าต้องละสังโยชน์คือตัดสังโยชน์มันมาละ

เวลาจะฆ่าโจรนะก็จับโจรมันมาฆ่า จับโจรที่ไหนจะมาฆ่าล่ะ เมื่อจับโจรไม่ได้ จับโจรมา โจรมันมีความผิดอะไรถึงพิจารณาจะฆ่ามัน แล้วโจรมันจะให้ฆ่าหรือ ไปจับมันมันก็ต่อสู้ ไปจับมัน มันบอกมันเป็นเจ้าหน้าที่มันจับเราด้วย มันบอกว่าเราเป็นเจ้าหน้าที่เทียม เราเป็นคนปลอมมา กิเลสมันพลิกมันแพลง มันต่อต้านทั้งนั้น

กิเลสมันเกิดจากใจเหมือนกัน ปัญญาก็เกิดจากจิตของเรา กิเลสก็เกิดจากจิตของเรา แล้วจิตของเราเวลาเกิดปัญญาขึ้นมา กิเลสมันจะปล่อยขึ้นมาไหม สิ่งที่กิเลสมันเกิดมันเกิดเพราะอะไร เวลาจิตเราสงบเข้ามาเห็นไหม เวลามันคงที่ เวลาคงที่เราจะพิจารณาของเราไป เวลาพิจารณา เวลามันปล่อยวางเห็นไหม กิเลสมันก็อยู่กับเรา พอกิเลสอยู่กับเรามันก็ใช้เวลาเรานั่นแหละ ใช้การพิจารณาของเรานั่นแหละ ย้อนกลับมาบังเงากับเรา บังเงาในหัวใจ พิจารณาแล้วล้มลุกคลุกคลาน ไม่ได้หน้าได้หลัง เดี๋ยวได้เดี๋ยวไม่ได้

เวลาเราออกนะ ดูสินาฬิกาของเรามันบกพร่อง กาลเวลาของเราเห็นไหม เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เดี๋ยวก็มีความพอใจ วันนี้ร่มเย็นเป็นสุข วันนี้เวลาดี๊ดี วันนี้มีความทุกข์ แหม เวลานี้ทำไมมันเดือดร้อนนัก เวลามันไม่รู้เรื่องอะไรกับเราเลย แต่หัวใจของเรามันไปให้ค่ามันเอง เวลาพิจารณาก็เหมือนกัน เวลาพิจารณาขึ้นมา เวลาจิตมันดีขึ้นมา จิตมันปล่อยขึ้นมา พิจารณาไปแล้วมันมีกำลัง ถ้ามีสัมมาสมาธิแล้วใช้เป็น

คนมีเงินนะ แล้วบริหารจัดการเงินนั้นเป็น เงินนั้นจะเป็นประโยชน์ คนมีเงินขึ้นมา แล้วบริหารเงินจัดการเงินไม่เป็นนะ เสียหมด! เงินพาคนเสียเลย พาให้เสียหายหมด

จิตถ้ามันสงบแล้วเราพิจารณาของเรา แยกแยะของเราขึ้นมา เวลามันได้ผลงานของมันขึ้นมา มันเป็นประโยชน์ของมันขึ้นมาเห็นไหม ตทังคปหานมันปล่อยวาง มันปล่อยขนาดไหน เราก็อย่าประมาทอย่าเลินเล่อ เราจะต้องหมั่นเพียรของเรา พิจารณาซ้ำพิจารณาซาก พิจารณาบ่อยครั้งเข้า

ทีนี้การพิจารณา เวลาพิจารณา พิจารณาด้วยอะไร? ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญามันเกิดขึ้นมา แล้วกิเลสมันจะนอนอยู่ นอนกรนอยู่ นอนให้เราฆ่ามันหรือ พอเราใช้ปัญญาไป ปัญญามันพิจารณาปล่อยวาง ปล่อยวางเป็นตทังคปหาน ปล่อยวางด้วยศีล สมาธิ ปัญญา แต่กิเลสมันแก่นของกิเลส พิจารณาไม่ถึงที่สุดของมัน ในเมื่อกำลังมันสู้ไม่ได้มันก็ถอย มันก็หาที่หลบที่ซ่อนของมัน

เวลามันตีกลับมานะ พิจารณาครั้งที่แล้วทำไมพิจารณาได้ พิจารณาครั้งนี้ทำไมพิจารณาไม่ได้ พอพิจารณาไม่ได้ก็เริ่มเสียใจแล้ว เริ่มท้อถอยอ่อนแอ พิจารณาไม่ได้ก็เพราะมึงเซ่อไง! ไม่ได้ก็เพราะประมาทไง ถ้าไม่ได้ ไม่ได้ก็กลับมาทำความสงบสิ ในเมื่อมีดของเรา เราใช้ทำอาหารมาจนทื่อหมดแล้ว เคยทำอยู่อย่างไรก็ทำอยู่อย่างนั้น ทำไมไม่ปล่อยวาง ไม่เอามีดของเรามาทำความสะอาด เอามาลับให้มันคมก่อนล่ะ

ฉะนั้นเวลาประพฤติปฏิบัติไป กาลเวลาเห็นไหม ดูสิ นาฬิกามันเคลื่อนไป เขาก็ต้องซ่อม ต้องดูแล ต้องรักษานาฬิกาเหมือนกัน แล้วนาฬิกาชีวิตของเรานะ ให้มันหมุนให้ครบเถิด ๑๐๐ ปี ให้มันหมุนให้ครบ ๑๐๐ ปี อย่าให้มันเจ็บไข้ได้ป่วย อย่าให้มันทำลายเห็นไหม เขาก็ต้องซ่อมแซมดูแล แล้วเวลาพิจารณา เวลาใช้ปัญญา เราจะใช้ปัญญาอย่างเดียวจะตะบี้ตะบันจะใช้ปัญญาอย่างนั้นตลอดไปหรือ มันก็ต้องกลับมาพักผ่อน มันก็ต้องกลับมาดูแลรักษา

ในเมื่อเราอยู่กับโลกนะ เราเกิดมาเป็นโลก เราเกิดมาเป็นมนุษย์ นี่ก็เหมือนกัน เวลา ๒๔ ชั่วโมงของมนุษย์เขาก็มีค่านะ ไม่ใช่ว่าเราบอกเวลาไม่มีค่า เวลามันทำให้เราติดอยู่ในกาลเวลาก็ทุบมันทิ้งเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก! เราอยู่กับมัน เราใช้ปัญญาของเรา ฉะนั้นเวลาปัญญาของเรามันมีปัญหาขึ้นมา เราก็แก้ไขของเรา เราก็ดูแลของเรา เราก็รักษาของเรา

เวลาพิจารณาไปเห็นไหม มรรคหยาบ มรรคละเอียดต่างๆ มันละเอียดขึ้นไปแล้ว ปัญญามันเกิดขึ้นมา เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมาแล้ว มันใช้แล้วมันพิจารณาแล้วมันไม่ปล่อย มันเป็นไปไม่ได้ก็ต้องวางไว้ วางไว้แล้วกลับมาพุทโธ วางไว้กลับมาทำความสงบของใจ วางไว้กลับมาเพื่อให้จิตมันเข้มแข็งขึ้นมา พอเข้มแข็งขึ้นมาเราก็ดูแลรักษา

การกระทำนะ พูดนี่มันง่าย ทำนี่มันยาก แม้แต่จิตสงบมันก็เกือบเป็นเกือบตาย แล้วใช้ปัญญาวิปัสสนา..วิปัสสนา.. วิปัสสนาอะไรกัน ก็วิปัสสนาเพื่อรื้อภพรื้อชาติ! ก็บวชมาเพื่อสิ้นสุดแห่งทุกข์! ไม่ใช่บวชมากินนอนวันๆ หนึ่งอ่ะ บวชมามันก็ต้องมีหลักมีเป้าหมายสิ เราบวชมามีเป้าหมายของเรานะ เราไม่ได้บวชมาสักแต่ว่า โลกเขาทำกันอย่างนั้น บวชเอาบุญกุศลกัน บวชขึ้นมาพ่อแม่ได้บุญมันก็เป็นเรื่องจริง มันก็จริงอันหนึ่ง จริงทางโลก

๒๔ ชั่วโมงมันมีความจริงของมัน แล้วใน ๒๔ ชั่วโมงเราทำคุณงามความดี มันจะไม่เป็นความดีได้อย่างไร ก็เป็นความดีจริงๆ อ่ะ ก็ความดีในเวลานั้นนะ แต่เราจะทำความดีเหนือกาลเวลา! เราจะทำความดีจริงๆ ของเรานะ

ถ้าทำความดีจริงๆ เห็นไหม จะบวชกี่วันก็แล้วแต่ จะมีชีวิตนี้ในสมณะเพศกี่วันก็แล้วแต่เราจะต้องมีสติของเรา เราจะต้องหวงแหนเวลาของเรา เราจะต้องหวงแหนชีวิตของเรา หวงแหนนะ.. หวงแหนมาเพื่อทำคุณงามความดี หวงแหนมาเพื่อทำให้เราได้ประโยชน์ขึ้นมา

ชีวิตนี้เกิดมาพบพุทธศาสนา เกิดมาได้บวชเป็นพระเป็นเจ้า บวชมาแล้วเป็นนักรบ บวชมาเพื่อจะต่อสู้กับเรา ใครจะว่าดี ใครจะว่าร้าย ใครจะทำอย่างไร มันเรื่องของเขา โลกธรรม ๘

โลกธรรม ๘ ธรรมะเก่าแก่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้หรือไม่ตรัสรู้ มันก็มีของมันอยู่แล้ว ทำดีแค่ไหนเขาก็ติ! จะดีจากฟ้าเขาก็ไม่สนใจ เพราะไม่ใช่ดีของเขา เขาไม่รู้ดีรู้ชั่วไปกับเราหรอก ไม่มีใครจะรู้ดีรู้ชั่วไปกับหัวใจของเรา ไม่ต้องไปห่วงกังวลเรื่องโลกธรรม ๘ เลย ใครจะติมันเรื่องของเขา

เรื่องของเราล่ะ เรื่องของเราก็ใจของเราไง เรื่องของเราก็มันร้อนอยู่นี่ไง ถ้าเรื่องของเรามันเย็น เรื่องของเรามีทางออก ทางออกก็ทางออกจากสติปัญญานี้ ทางออกจากที่อื่นไม่มี ทางออกจากที่อื่นนะ ร้อน ตายก็เพราะร้อนลงนรกอเวจี ตายด้วยความเย็นๆ มันก็ไปสวรรค์ของมัน ตายด้วยความวิตกกังวลอยู่ ตายด้วยความลังเลสงสัยในชีวิตนี้อยู่ก็เกิดเป็นมนุษย์ มันก็จะเกิดจะตายอยู่อย่างนี้

แล้วเกิดตายขึ้นมา เกิดตายในชาตินี้นะ ในชาตินี้จะดีจะร้าย เราก็ได้มีปัญญา เราก็ได้มีสังคม มีพุทธศาสนา มีครูบาอาจารย์กันร่วมบุกเบิกมาให้กระแสสังคมเขาตื่นตัว เราเกิดมาในสังคมที่เขาตื่นตัว เขาแสวงหากัน เราก็อยากแสวงหา มันเป็นโอกาสนะ มันเป็นเวลา เวลาที่สังคมเสื่อมทรามเขามีแต่การติฉินนินทา เขามีแต่ทำลาย แล้วเราจะมานั่งทำคุณงามความดีกับเขา เราก็ต้องฝืนกระแสสังคมอีกชั้นหนึ่ง

ในปัจจุบันนี้สังคมเขากำลังตื่นตัว แล้วเรามาเกิดในกระแสสังคมอย่างนี้ แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเรา นี่มันมีคุณประโยชน์แล้ว แล้วบอกว่าถ้าปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติแล้วมันยังไม่มีทางสิ้นสุด ก็ปฏิบัติต่อไปเอาชาติหน้าชาติโน้น

ชาติหน้าชาติโน้นใครการันตีได้ว่าชาติหน้าชาติโน้นเราจะมีความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ ดูสิ ดูทางโลกเห็นไหม คนที่เขาไม่เชื่อเขาคัดค้าน เขาบอกว่าศาสนานี้เขียนเสือให้วัวกลัว นรกสวรรค์นะแหม เขียนซะตัวใหญ่ๆ นะ ยักษ์จะมากินหัว เขาหัวเราะเยาะอีกต่างหากนะ ยิ่งไปแนะนำเขาเขายิ่งหัวเราะ แล้วไปตื่นเต้นอะไรกับเขา

เรื่องของเขานะ ปลาอยู่กับน้ำ พระอยู่กับสังคม สังคมเราอาศัยเขาอยู่ เราอาศัยเขานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ คฤหัสถ์เช้าขึ้นมา ให้เขาหุงหาอาหารนะ ข้าวปากหม้อให้ใส่บาตรกับผู้ทรงศีล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้

เรานะเกิดมาท่ามกลางธรรมวินัย เราเป็นพระเป็นเจ้า เราบิณฑบาตไม่ใช่ว่าเราเก่งหรอก เขาเชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาเชื่อพระพุทธเจ้า เขาไม่เชื่อเราหรอก เขาจะไปเชื่ออะไรเรา เรายังขอเขากินอยู่เลย แต่เราก็ทำตามธรรมวินัยเหมือนกัน เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เห็นไหมเช้าก็บิณฑบาต เขาก็แสวงหาผลประโยชน์ของเขา เพื่อประโยชน์ของเขา เขาได้เสียสละ บุญเกิดจากใจของเขา ใจของเขาได้เสียสละเป็นบุญกุศล

บุญกุศลนั้น พันธุกรรมทางจิตนั้นใจเขาจะมีความร่มเย็นเป็นสุขของเขา เราเป็นพระ เราอาศัยเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง รักษาชีวิตนี้ไว้เพื่อพิจารณาของเรา รักษาชีวิตนี้ไว้เพื่อการกระทำไง กาลเวลาที่เรารักษาของเรา เวลาชีวิตมันจะหมุนของมันไป แล้วถ้าเราใช้ปัญญาของเราพิจารณาของเรา พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนถึงที่สุดมันขาดนะ!

ปุถุชนเห็นไหม สังโยชน์ ๑๐ ร้อยรัดไว้ จิตของปุถุชน

จิตของพระโสดาบันนะ สังโยชน์ ๓ ตัวขาดไป

จิตของปุถุชนเวียนตายเวียนเกิดไม่มีต้นไม่มีปลาย จิตของพระโสดาบันอย่างมากอีก ๗ ชาติ เวลามันคนละเงื่อนแล้ว เงื่อนไขของเวลาแตกต่างแล้ว เงื่อนไขของเวลาไม่เหมือนกันแล้ว เงื่อนไขของเวลา ๒๔ ชั่วโมงเป็น ๒๔ ชั่วโมง คือว่าไม่มีต้นไม่มีปลาย เวียนตายเวียนเกิดอยู่ในธรรมชาติของมัน

กับเงื่อนไขของเวลาที่อีก ๗ ชาติ แล้วพิจารณาเข้าไปนะ ๓ ชาติ พิจารณาไปถึงอนาคามีไม่มาเกิดอีกแล้ว เกิดเป็นพรหม แล้วถึงที่สุดนะมันทำลายนาฬิกาตาย เวลาใจมันตายแล้ว! จิตนี้ไม่มี! กาลเวลาไม่มี กาลเวลาเขาเอาไว้ในวัฏฏะ จิตที่พ้นไปแล้ว เวลาของใจไม่มีแล้ว ถ้าเวลามีมันอยู่ที่ไหนล่ะ

มันอยู่ในการกระทำของเรานะ เราเป็นชาวพุทธ แล้วเราเป็นนักบวชด้วย เราเป็นพระ เราเป็นนักบวช เราเป็นนักต่อสู้ ฉะนั้นตั้งใจของเรา ทำใจของเรา เราจะต้องปลุกปลอบให้จิตใจของเราฮึกเหิม รื่นเริง อาจหาญ แล้วต่อสู้กับกิเลสในใจของตัว หน้าที่ของเรามีเท่านี้ หน้าที่ต่างๆ มันเป็นเรื่องของสังคมของโลกเขา หน้าที่ของเราเราจะต่อสู้กับใจของเรา ต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา ต่อสู้กับอวิชชาความไม่รู้ในใจ

ถ้าความรู้ในใจมันเปิดออก เปิดแล้วเปิดเล่าจนถึงที่สุดขาดกระเด็นออกไปเห็นไหม เวลามารข่มขี่หัวใจของสัตว์โลก เพราะมีสถานที่มีภพให้มันข่มขี่ เราทำลายภวาสะ อวิชชาสวะ กิเลสสวะ ทำลายทั้งหมด มารจะไปอยู่ที่ไหน มารมันเก้อๆ เขินๆ นะ มารมันหาจิตดวงนี้ไม่เจอ เห็นไหม กาลเวลาของใจได้ตายแล้ว ถ้าเวลาของใจหมดสิ้นแล้ว นี่คือสิ้นสุดหน้าที่การงานของเรา

งานของเรามีนะ อย่าทิ้งงานของพระ งานของพระตั้งสติทำความสงบของใจ ใช้ปัญญา นี้งานของเรา งานในทางโลกเห็นไหม เราอาศัยเขาอยู่ เป็นสมบัติสาธารณะ อารามิก เราเป็นคนไม่มีเรือนกันนะ เราอยู่วัดอยู่วา เราไม่มีบ้าน เราไม่มีสมบัติ มีบริขาร ๘ แล้วอยู่ในวัด เห็นไหม อารามิกไม่มีเหย้าไม่มีเรือน

คำว่าไม่มีเรือนของเรา เราอาศัยสังคมนี้อยู่ แต่งานของเราต้องมี ทำงานของเราให้สิ้นสุด เวลาของใจมันจะตายไป เอวัง